มาขับรถเที่ยวในญี่ปุ่นกันเถอะ

เพิ่งกลับจากทริป 9 วันในเจแปนมาร้อนๆ
ฮู้วววว  เป็นทริปสุดคุ้มค่า เพราะได้เจออากาศทุกฤดูเลยนะคะ บอกเลย
ทั้งตากฝนจนกางเกงในเปียกโชก เดินหนาวสั่นลมโกรกๆกลางหิมะ  ไปดูซากุระสวยๆงามๆ แล้วตามด้วยแดดแรงๆร้อนจับใจจนนึกว่านี่มันสิไทยแลนด์รึเปล่านี่

เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดีมาก

เอ้า นอกเรื่องๆ
ประเด็นที่จะเล่าวันนี้ ไม่ใช่จะมาบ่นเรื่องสภาพภูมิกากาศที่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้นะคะ แต่อยากจะมาแชร์ข้อมูลการขับรถเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นค่ะ...


ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก ว่าทริปนี้จะไปเก็บที่เที่ยวแบบที่ไปยากๆนิดนึง ก็เลยต้องเช่ารถขับค่ะ  และนับเป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดเลย เพราะทำให้ทริปเราดูเที่ยวง่ายๆ ชิวๆขึ้นมาเยอะ

ไม่ต้องไปรอดูตารางรถไฟว่าจะออกเมื่อไหร่
ไม่ต้องดูว่าต้องต่อรถบัสเที่ยวไหน
อยากเข้าห้องน้ำเมื่อไหร่ก็ หาที่แวะได้ตามใจฉัน
ตรงไหนสวยก็จอดรถถ่ายรูปได้เลย

รู้สึกชีวิตดี๊ดีนะ

ทริปคราวนี้ขับรถ + รถไฟแบบ 50:50 คราวหน้าคิดว่าจะลองขับรถอย่างเดียวบ้างละ น่าจะสนุกดี

ทีนี้การจะไปขับรถที่ญี่ปุ่น เริ่มยังไง ทำอะไรบ้าง?
1.ทำใบขับขี่สากล
หยิบใบขับขี่บ้านๆในไทยแลนด์ของคุณขึ้นมา กำเงิน 505 บาท + รูปถ่าย2นิ้ว 2 ใบ,และพาสปอร์ต วิ่งไปสถานีขนส่งใกล้ๆบ้าน มุ่งตรงไปยังเค้าเตอร์ ยื่นเรื่องขอทำใบขับขี่สากลได้เลยค่ะ (เราไปยื่นมาที่ขนส่งตรงจตุจักร ใช้เวลาทำไม่ถึงสิบนาที  เร็วกว่ารอรถเมล์แถวบ้านอีก) รายละเอียดอ่านได้ที่นี่
มีอายุใช้งานได้หนึ่งปีจ้า

2.จองรถออนไลน์


รถเช่าในญี่ปุ่นมีหลากหลายบริษัท เพราะคนญี่ปุ่นไม่ได้นิยมซื้อรถแบบบ้านเรา(คือการขนส่งรถไฟสะดวกอยู่แล้ว และพื้นที่จอดรถมีจำกัด ค่าประกันรถนี่ ยิ่งเก่ายิ่งแพง)  ส่วนใหญ่จึงใช้บริการเช่ารถเป็นครั้งๆมากกว่า  
ถ้าถามว่าจะเลือกเช่ารถเจ้าไหนดี ก็ขอบอกว่าให้เลือกบริษัทที่อยู่แถวๆโรงแรมที่คุณพัก  หรือไม่ก็บริษัทที่อยู่ในๆสถานีที่คุณสะดวกเดินทางไปเอารถนั่นแหละ  เพราะเท่าที่เราเคยใช้บริการมา โดยรวมๆก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่ ราคาสำหรับรถ 5 ที่นั่งแต่ละเจ้าก็พอๆกัน (ต่างกัน+-1000 yen) แต่ยังไงก็จะขอแนะนำคร่าวๆ สำหรับบริษัทใหญ่ๆที่เห็นกันบ่อยๆ 4 เจ้า ละกันนะคะ  สนใจที่ไหนคลิกได้เลยค่า

  2.1) Toyota Rental car  : บริษัทเช่ารถในเครือโตโยต้า คาดว่าเป็นบริษัทที่คนไทยนิยมใช้บริการที่สุด เพราะชอบมาเปิดบูทเช่ารถในงานท่องเที่ยวอยู่บ่อยๆ มีสาขาเยอะแยะมากมาย มีสตาฟพูดภาษาอังกฤษได้ให้บริการด้วย เวลาเช่ารถก็โทรไปขอเช่าจากเบอร์ในเว็บไซด์ได้เลย   มีรถหลากหลาย (แต่แน่นอนว่ายี่ห้อโตโยต้าเท่านั้น) มีการคิดเงินทั้งแบบ 12, 24 ชั่วโมงให้เลือก  จากประสบการณ์เราเอง..เช่ารถจากในงานที่ไทยแพงกว่าโทรไปเช่าเอง  (แต่ไม่แน่ใจว่ามันขึ้นอยู่กับค่าเงินด้วยรึเปล่า ตอนนั้นที่เราถาม ราคาต่างกันเป็นพันบาทเหมือนกัน ลองเช็คดูอีกทีนะคะ)

 2.2) Nissan Rental car : บริษัทเช่ารถในเครือนิสสัน มีสาขามากมายเช่นกัน (มีความรู้สึกว่าสาขาเยอะกว่าโตโยต้าด้วยแฮะ  โดยเฉพาะตามสถานีรถไฟต่างๆ ) มีระบบจองรถผ่านหน้าเว็บไซด์ได้เลย สะดวกมากๆ ไม่ต้องโทรไปคุยให้มากความ มีข้อเสียคือ ไม่ค่อยจะร่วมโปรขายพวกพาสต่างๆเลย (อย่างที่เราไปมา Tohoku express way pass ก็ไม่มีขาย) สตาฟพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย ..แน่นอนว่ายิ่งออกต่างจังหวัดมากๆ ความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษของสตาฟก็จะลดลงตามไปด้วยนะคะ

2.3 Nippon Rental Car : บริษัทเช่ารถเอกชนสัญชาติญี่ปุ่นที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด มีรถให้เลือกมากมายหลายยี่ห้อ สามารถจองรถออนไลน์ผ่านหน้าเว็บได้เช่นกัน สะดวกมากๆ  ที่ผ่านมาเราชอบเช่ารถจากบริษัทนี้ที่สุดละ ***เพราะสะสมไมล์กับ ANA ได้จ้า เริ่ดอะ แต่ต้องพกบัตร ANA ไปยื่นด้วยนะคะ นอกจากนี้ยังมีสมุด mapcode แจกให้ด้วย ซึ่งเป็นสมุดที่รวมที่เที่ยวสำคัญๆภูมิภาคนั้น พร้อมโค้ดเอาไว้ใส่ใน GPS ในรถยนต์ค่ะ สะดวกดี เวลาที่เราไม่มีเบอร์โทรที่นั้นๆ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาหาเบอร์ในเน็ท

2.3 Times car rental  : อีกหนึ่งบริษัทเช่ารถสัญชาติญี่ปุ่นที่มีรถให้เลือกหลายยี่ห้อเช่นกัน (เพื่อนเราบอกว่าบริษัทนี้อยู่ในเครือมาสด้าค่ะ) มีสาขาเยอะตามเมืองใหญ่ๆ ส่วนตัวเราไม่เคยใช้บริการนะคะ แต่ดูท่าทางอินเตอร์ดีเหมือนกัน สามารถจองผ่านเว็บไซด์ได้เลยด้วย สะดวกดีค่ะ

สิ่งที่ควรคำนึงถึงเวลาจองรถ

1. พื้นที่ขนกระเป๋าสัมภาระ : อย่าเลือกรถโดยนับแค่จำนวนคนโดยสารนะคะ คิดถึงเวลาวางกระเป๋าด้วยจ้า ยิ่งถ้าคิดจะเอากระเป๋าใบใหญ่ไปนี่ต้องคิดดีๆ บางทีไปกัน 5 คน กระเป๋าใบใหญ่ 5 ใบ อาจจะต้องเช่ารถแบบ 8 ที่นั่งเลยก็เป็นไปได้ (ค่าเช่าระหว่างรถ 5 ที่นั่งกับ 8 ที่นั่งจะกระโดดไปสูงมาก อาจจะประมาณหนึ่งเท่าตัวเลยทีเดียว  ระวังงบบานปลายนะจ๊ะ)

2. จำนวนคนเดินทาง : เราว่าจำนวนคนที่เหมาะในการเช่ารถขับที่สุดคือ 4-5 คน เพราะสามารถแชร์ค่าเช่ารถได้ในราคาประหยัดกว่านั่งรถไฟ และยังมีพื้นที่ให้ใส่ของสัมภาระได้พอดีๆ ยิ่งถ้าเป็นทริปที่ไปกัน 4 คน จะหาโรงแรมได้ง่ายและประหยัดกว่าด้วย   ถ้าสมาชิกเยอะกว่านี้ ก็ต้องเปลี่ยนไปรถที่ใหญ่ขึ้น  โดยปกติใบขับขี่สากลที่เราทำๆกัน จะสามารถขับรถได้สูงสุดแค่รถแบบ 8 ที่นั่งค่ะ จะขับรถพวก van ไม่ได้จ้า ลองเช็คดูดีๆนะคะ

2. ETC card  : เหมือนบัตรทางด่วน easy pass บ้านเรา ถ้ามีให้เช่าก็เช่าเถอะ!! สะดวกมาก ไม่ต้องมาคอยนับตังค์จ่ายตรงทางด่วน เป็นเหมือนบัตรเครดิตค่ะ  คือใช้ๆไปก่อน แล้วจ่ายตังค์ทีเดียวกับบริษัทตอนคืนรถ แต่ว่าเช็คดีๆนะคะ ไม่ใช่ว่าที่เช่ารถทุกสาขาจะมี ETC card ให้เช่าค่ะ อย่างของนิสสันนี่ มีให้เช่าแค่สาขาตรงสถานีใหญ่ๆอะ T_T จะเช่าแยกก็ไม่ได้ด้วย อย่างเช่นถ้าเราเช่ารถของนิสสัน แล้วจะไปขอเช่า ETC ที่โตโยต้านี่ไม่ได้ค่ะ 

3. ประกันอุบัติเหตุ : ทำๆไปเถอะ เพิ่มเงินไม่กี่ตังค์เพื่อความสบายใจ ปกติประกันความเสียหาย จะเพิ่มมาในตอนเช่ารถให้เป็น default อยู่แล้ว สามารถปฏิเสธได้ แต่ก็อย่าเลย.. แต่ว่า ต่อให้เรามีประกันก็ตาม ถ้ามีอุบัติเหตุ ก็จะต้องเสียค่าธรรมเนียมดำเนินการ+ค่าเสียหายจากการที่บริษัทรถเช่าเสียไปในระหว่างซ่อมรถ หรือที่เรียกว่า NOC (Non Operation Charge)อยู่ดี เช่นถ้าไปขับรถชนเป็นขูดเป็นรอย (แบบที่รถยังใช้งานได้) ก็จะเสีย 20000 เยน ถ้ารถเสียหายขนาดขับไม่ได้ ก็ต้องเสีย 50000 เยน ..อาเมน..อย่าเกิดอุบัติเหตุเป็นดีที่สุด

4. สถานที่+เวลาที่จะคืนรถ : สามารถคืนรถต่างสาขาได้  แต่ระวังค่าเช่ารถที่อาจเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว (ถ้ารับได้ก็เชิญจ้า) ส่วนเวลาที่จะคืนรถ ก็คืนให้ตรงเวลาเถอะ  แต่ส่วนใหญ่เค้าจะอนุโลมให้เกินเวลาได้บ้างนิดหน่อย ถ้าหากโทรมาบอกก่อน เช่นอาจจะเจอรถติดหนัก หรือเหตุสุดวิสัยอะไรก็ตาม  ครั้งล่าสุดนี้เราขับรถเที่ยวช่วงโกลเด้นวีคญี่ปุ่น รถติดมากก คืนรถช้าไป 2 ชั่วโมง T_T เลยเวลาปิดของบริษัทแล้วด้วย แต่ทาง nissan rental car ก็ไม่ได้เก็บเงินเพิ่มอะค่ะ ซึ้งใจจุง

5. ที่นั่งสำหรับเด็ก (car seat)  : ถ้ามีเด็กที่จำเป็นต้องนั่งคาร์ซีทก็ต้องขอเพิ่มนะคะ ไม่งั้นผิดกฎหมายญี่ปุ่นค่ะ ส่วนใหญ่จะเป็น option ให้ติ๊กๆตอนเช่ารถค่ะ อย่าได้เสียดายเงิน จัดไปเลยยย

6. Express way Pass : โปรโมชั่น express way pass นี่แล้วแต่พื้นที่และช่วงเวลานะคะ  อย่างเช่น Tohoku Express Way pass ที่เราใช้ก็จะขายถึงแค่สิ้นเดือน กันยานี้เท่านั้น ต้องเช็คเวลาดีๆค่ะ ถ้าอยากซื้อ ก็ระบุไปในช่องคำขอพิเศษได้เลย *** ไม่ใช่ทุกบริษัทจะขาย pass พิเศษแบบนี้นะคะ ต้องดูเงื่อนไขดีๆว่าซื้อได้ที่ไหนบ้าง  ถ้า Tohoku Express Way pass นี่มีขายแค่ที่ Toyota + Nippon rental car เท่านั้นเองค่ะ 

3.การไปรับรถที่ญี่ปุ่น
หลังจากจองรถออนไลน์ไปแล้ว  ก็จะได้ e-mail มายืนยันการจองค่ะ พอไปถึงญี่ปุ่นก็แจ้งชื่อกับเจ้าหน้าที่ได้เลย  เค้าจะขอก๊อบปี้ พาสปอร์ตและใบขับขี่ของคนขับทุกคน (ถ้ามีคนขับมากกว่าหนึ่งก็จัดไปให้หมด) จากนั้นก็จะเป็นการตรวจสถาพรถด้วยกันกับเจ้าหน้าที่  มีร่องรอยขีดข่วนตรงไหนก็แจ้งๆเค้าไปค่ะ

*** ณ จุดนี้อย่าลืมให้เค้าเซ็ท GPS เป็นภาษาอังกฤษนะคะ เดี๋ยวจะมึนตึ้บ
*** สำคัญมาก อย่าลืมถามเบอร์โทร และเวลาปิดของปั๊มน้ำมันที่อยู่ใกล้ๆจุดคืนรถด้วยนะคะ เพราะเราต้องเติม น้ำมันให้เต็มก่อนคืนรถ จะได้ไม่ต้องไปขับรถวนหาปั๊มค่ะ ปกติทางเจ้าหน้าที่จะแจ้งให้ทราบอยู่แล้ว แต่บางทีเค้าลืมแจ้ง ไอ้เราก็ลืมถาม จบกันทั้งคู่ค่ะ  ลำบากชีวิตไปอีกหน่อย

3.การใช้ GPS ในรถ
สิ่งหนึ่ง (หรืออาจจะหลายๆสิ่ง) ที่ทำให้การใช้ GPS ในรถเลิศเลอกว่า google map ก็คือ
- ค้นหาสถานที่จากเบอร์โทรศัพท์ได้ ... เยี่ยมมาก!! เอาไปสิบกระโหลก  ทำไมไทยแลนด์ไม่มีบ้างง
- สัญญาณกลางป่าเขาลำเนาไพร ยังไงก็ใช้งานได้ ไม่หลงแน่ๆ
- มีภาพบอกทางเลี้ยวและไฟเขียวไฟแดงชัดเจน.. ไม่ต้องเดาว่า อีก300 เมตรเลี้ยวซ้าย ..เอ..แต่แถวนั้นมีซอยเพียบบบ แล้วมันซ้ายไหนกันแน่วะ คือเราสามารถนับไฟแดงที่ขึ้นมาบนหน้าจอได้เลย  โอเค อีกสามไฟแดงเลี้ยวซ้าย อะไรแบบนี้  นอกจากนี้ในตัวเมือง ยังมีภาพจำลองสถานที่จริงให้อีกด้วย เริ่ดๆ

4.กฎจราจรที่ต้องจำ!!
แม้ว่ากฎจราจรทั่วๆไปจะคล้ายๆบ้านเรา แต่ด้วยเคยชินกับการฝ่าฝืนกฎจนเป็นปกติของเรานั้นอย่าได้เอาไปใช้ที่ญี่ปุ่นนะคะ!! ทางม้าลายนี่ต้องหยุดนะคะ ไม่ใช่เร่งให้ไปเร็วๆ

ขออณุญาติสรุปกฎจราจรทั่วๆไปที่เราคิดว่าควรรู้ไว้ตรงนี้ค่ะ
   4.1) ไม่มีเลี้ยวซ้ายผ่านตลอด.... จะเลี้ยวซ้ายก็ต้องรอไฟเขียวอย่างเดียวจ้า
   4.2) การเลี้ยวขวาอันน่าปวดหัว.....หลายๆแยกจะเปิดไฟเขียวเลี้ยวขวาพร้อมกับฝั่งตรงข้ามที่เปิดไฟเขียวตรงมา (งงมั้ยอะ) คือมันจะทำให้ชีวิตการเลี้ยวขวาของเรายากขึ้น 70%  เพราะต้องรอให้รถทางตรงไปหมดก่อน แล้วเราถึงจะเลี้ยวขวาได้ค่ะ (บอกเลย ถ้าบ้านเราเปิดไฟแบบนี้แม่มชนกันเพียบแน่ๆ)

แค่นั้นยังไม่พอ บางแยกจะมีไฟเขียวห้อยๆแล้วเปิดทั้งไฟเขียวไฟแดงแบบชวนปวดหัว
ซึ่งความหมายของไฟคือตามรูปด้านล่างนี้เลยนะคะ ตรงภาพที่ 2 ถ้าเราจะเลี้ยวขวา สามารถไปรอตรงกลางถนนได้  รอจังหวะ ถ้ารถไม่มีก็เลี้ยวไปได้เลยเหมือนกัน  แต่ถ้าเป็นรูปสุดท้ายนี่คือเลี้ยวได้แบบไร้กังวล เพราะรถทางตรงมาไม่ได้แน่นอน

  4.3) ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยทุกคน.... รวมทั้งคนที่นั่งอยู่ด้านหลังด้วย!!! โดยเฉพาะเวลาขึ้นทางด่วน บางจุดจะมีเจ้าหน้าที่คอยส่องตอนจ่ายตังค์หรือว่าตอนรับบัตรด้วย ถ้าไม่คาดคือผิดกฎหมาย โดนปรับนะคะ ถ้าเป็นคนญี่ปุ่นขับก็จะโดนตัดแต้มใบขับขี่ (ถ้าแต้มโดนตัดหมด ก็จะโดนยึดใบขับขี่ค่ะ ซึ่งจะทำใหม่ก็ยากมากๆ)  นี่คือเหตุผลว่า รถ 5 ที่นั่ง ก็ต้องนั่ง 5 คน จะมาอัดนั่ง 6 คนแบบบ้านเราไม่ได้นะคะ เพราะเข็มขัดนิรภัยนั้นออกแบบมาให้พอดีกับจำนวนคนแล้วจ้า
  4.4) ป้าย  止まれ (tomare) บนพื้นถนนและทางข้ามรถไฟ.... เจอแล้วคือต้องหยุด แล้วมองซ้ายขวาให้ดีๆนะคะ ต่อให้ไม่มีอะไรก็ต้องหยุดก่อนค่ะ ถ้าไม่หยุดคือผิดกฎหมายนะ  ส่วนใหญ่จะมีในแยกเล็กๆที่ไม่มีไฟจราจร หรือสี่แยกในซอยเล็กๆแบบเนี๊ยะ  ทางข้ามรถไฟก็ต้องหยุดก่อนเหมือนกันค่ะ ต่อให้ตามคันหน้ามา จะทำเนียน เห็นคันหน้าไปแล้วขับตามต่อไม่ได้นะจ๊ะ ต้องหยุดแล้วมองด้วยตาตัวเองว่าปลอดภัย จึงค่อยๆขับข้ามไปค่ะ

  4.5) การขับรถบนทางด่วน การเดินทางระหว่างเมืองที่ญี่ปุ่นจะเป็นทางด่วนทั้งนั้นค่ะ (คือทางธรรมดาก็ไปได้ แต่ว่ามันแยกเยอะมาก! ไฟแดงเยอะมาก! และเสียเวลามาก!  อาจต้องเสียเวลามากขึ้น 2-3 เท่าเลยทีเดียว)   ปกติจำกัดความเร็วที่ 100 km/hr แต่บางจุดก็ลดลงเหลือ 80, 60 มีบ้างเหมือนกัน ดูป้ายดีๆค่ะ ถ้าขับเร็วเกินไปมีกล้องจับเหมือนบ้านเราเลย   แต่ว่าที่ต่างกันคือ... บางจุดจะมีสายตรวจอยู่ด้วยจ้า ขับเร็วมากเกินไปนี่ ถ้าโดนแจ๊คพอต รถตำรวจจะวิ่งไล่ตามแล้วประกาศแบบประจานเลยนะคะ แบบในหนังเลยอะ "รถคันหน้า โตโยต้าคราวน์ สีดำ ทะเบียน บลาๆๆ กรุณาจอดเดี๋ยวนี้ คุณขับรถเร็วเกินกว่าที่กำหนด"  อันนี้เคยเห็นมากับตาเลยค่ะ  เจอแบบนี้ไม่สนุกเลยนะ.. T_T  บางจุดที่ไม่มีสายตรวจก็จะโดน จับ-ส่งใบค่าปรับ-ตัดแต้ม สำหรับคนญี่ปุ่นค่ะ

4.3) มารยาทในการขับขี่ ที่ญี่ปุ่นไม่มีการแซงซ้าย แซงขวา เปลี่ยนเลนกันบ่อยๆแบบบ้านเรานะคะ ปกติขับเลนไหนก็จะอยู่เลนนั้นตลอด ต่อให้ในช่วงรถติด ถึงเลนข้างๆจะไปได้เรื่อยๆ ก็จะไม่ค่อยมีคนแทรกเข้าไปค่ะ (ฝึกความอดทน)   และแน่นอนว่ารถช้าก็ต้องชิดซ้าย เลนขวาเอาไว้แซงค่ะ แซงเสร็จก็กลับที่เดิม  แต่เราก็เคยเห็นรถที่ขับเร็วๆ วิ่งแต่เลนขวาตลอดเหมือนกันนะ

อีกอันนึงที่ชอบคือ การเปิดไฟฉุกเฉิน 2ครั้ง แทนคำขอบคุณบนท้องถนนค่ะ อย่างเวลาที่เราจะออกจากซอย แล้วรถทางตรงหยุดให้  หรือเวลาที่ขอเข้าเลนคนอื่นตอนรถติดๆ แล้วเค้าหยุดให้ ก็กดไฟขอบคุณได้ค่ะ

นอกจากนี้ ด้วยความที่คำนึงถึงคนอื่นตลอดเวลา  ที่ญี่ปุ่นจะมีป้ายติดท้ายรถ บ่งบอกความหมายต่างๆด้วยค่ะ เพื่อให้รถคันอื่นได้ระวังรถคันนี้เป็นพิเศษ ลองดูความหมายตามด้านล่างเลยจ้า

ป้ายผู้สูงอายุนั้นมีใช้กัน 2 แบบ  ของเก่าจะเป็นรูปหยดน้ำ แต่ภายหลังพบว่ามีปัญหาเรื่องการออกแบบ เพราะสีและรูปร่างนั้นดูคล้ายกับใบไม้แดงที่จะโรยร่วงไป ซึ่งมีความหมายในเชิงไม่ค่อยดี (เหมือนจะบอกว่าผู้สูงอายุอีกไม่นานก็ตายแล้ว..สมกับเป็นชนชาติที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด) จึงได้มีการเปลี่ยนรูปแบบใหม่เป็นรูปใบโคลเวอร์ 4 แฉกค่ะ



กฎอื่นๆ อ่านได้ที่นี่ค่ะ

5. การเติมน้ำมัน
ก่อนคืนรถ จะต้องเติมน้ำมันให้เต็มถังค่ะ  ไม่งั้นจะโดนค่าปรับ  ซึ่งรถส่วนใหญ่จะใช้น้ำมันเบนซินแบบเรกูล่า (ใช้ทับศัพท์ได้เลย)ที่เป็นสีแดง ตามรูปด้านล่างค่ะ ส่วนสีเหลืองป็นแบบ high octate จะใช้กับรถบางประเภทเท่าน้น สีเขียวเป็นดีเซล ใช้กับรถบรรทุกค่า


  ถ้าไปถึงที่ปั๊มน้ำมัน ก็บอกเค้าว่า "มังตัง" แปลว่าเต็มถัง  เค้าอาจจะถามกลับมาว่า จะจ่ายเป็นบัตร (ca--do) หรือเงินสด (genkin 現金)ตอบไปเลยว่า genkin ค่ะ หรือจะใช้ทับศัพท์ว่าแคชฉิ ก็ด้าย แต่ต้องพูดแบบ...แคชฉิ นะ ไม่ใช่แคชเฉยๆ  (cash => casshi ในภาษาญี่ปุ่น)

บางปั๊มอาจมีบริการทิ้งขยะในรถ หรือบริการเช็ดกระจกให้ด้วย เด็กปั๋มนี่มีส่วนใหญ่เป็นหนุ่มๆสาวๆวัยม.ปลาย - มหาลัยที่มาทำงานพิเศษ  เวลาเข้าปั๊มแล้วมีความสุขค่ะ เด็กๆน่ารัก บริการดี ฮ่าๆๆ คุณป้าชอบ

ปั๋มน้ำมันบางที่จะเป็นแบบบริการตัวเอง (สังเกตุได้จากคำนี้  self = セルフ).. แล้วความบรรลัยก็จะมาเยือน เพราะตู้เติมน้ำมันส่วนใหญ่ไม่มีภาษาอังกฤษจ้า  แต่ละยี่ห้อก็มีสเต็ปต่างกันนิดหน่อย  แต่ใจเย็นๆ เค้ามีภาพบรรยายอธิบายอยู่แล้ว  เราเองก็เคยไปมั่วๆได้อยู่นะ  ตู้เติมน้ำมันด้วยตัวเองจะหน้าตาแบบนี้ค่ะ


ก่อนอื่นเลย  ให้กดปุ่มหน้าตาที่เป็นรูปมือตรงเครื่องเพื่อกำจัดไฟฟ้าสถิตในตัวเองซะก่อน  ถ้าไม่เข้าใจหรือต้องการความช่วยเหลือ สามารถกดปุ่มตามรูปที่ 2เพื่อถามเจ้าหน้าที่ได้ค่ะ (แน่นอน ภาษาญี่ปุ่นนะจ๊ะ)

 

แล้วก็เริ่มมั่วได้ ฮะฮ่าๆ จริงๆแล้วมีขั้นตอนดังนี้ค่ะ

1. ใส่บัตร หรือเงินสดลงไปในเครื่อง (แน่นอนว่าต่างชาติอย่างเรา จ่ายเงินสดกันเถอะ) อาจจะสงสัยว่า แล้วชั้นจะใส่เท่าไหร่ล่ะ  ??? ก็ใส่แบบประมาณไปก่อนค่ะ เพราะมันทอนเงินได้
2. กดปุ่มเลือกชนิดน้ำมัน  ส่วนใหญ่ก็ เรกูล่า (レギュラー)สีแดงอะนะ  แล้วเลือก 満タン ที่แปลว่าเต็มถังค่ะ
3. เปิดถังน้ำมันรถ แล้วเอาหัวปั๊มน้ำมันไปใส่
4. บีบตรงที่จับหัวปุ๊มน้ำมัน เพื่อให้น้ำมันไหลออกมา  รอจนมันหยุด
5. เอาหัวน้ำมันเก็บที่เดิม  เครื่องจะปริ๊นใบเสร็จมาให้พร้อมเงินทอน  ถ้าที่เครื่องไม่มีเงินทอน ก็ต้องเอาใบเสร็จนั้นไป scan รับเงินทอนที่อีกตู้นึง (ปกติจะตั้งอยู่ใกล้ๆโซนสำนักงาน  ลองสังเกตุคนอื่นดูค่ะ)
6. เท่านี้ก็เรียบร้อยย



6. การจอดรถ
การจอดรถในต่างจังหวัดค่อนข้างหาได้ง่ายค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเซเว่น หรือตามที่ท่องเที่ยว ส่วนใหญ่ก็จะมีที่จอดให้เหลือๆอยู่แล้ว  แต่ควรระวังดังนี้
6.1) ญี่ปุ่นไม่มีการจอดรถซ้อนคัน  ต้องจอดในช่องที่ตีไว้เท่านั้น .. อย่ามักง่ายนะคะ อายเค้า
6.2) ช่องที่ตีไว้ แต่เขียนว่า バス คือช่องสำหรับรถบัส  ห้ามจอดนะคะ
ุ6.3) ห้ามจอดข้างถนน (ถ้าแค่รับส่งคนแปบเดียวอาจจะไม่เป็นไร)
6.4) ในลานจอดรถของเอกชน จะมีคันจิบอกอยู่ด้านหน้าว่าเต็มหรือว่าง  คือ 満 (เต็ม) และ 空 (ว่าง) ค่ะ ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปจอด ลองสังเกตดูซักนิด

จบแล้วค่า เท่าที่นึกออก  ถ้าคิดไรได้ใหม่จะมาเพิ่มเติมทีหลังนะคะ
สำหรับประเทศญี่ปุ่น เราว่าภูมิภาคที่เหมาะกับการขับรถเที่ยวมากๆเลยก็คือ

1. ฮอคไกโดช่วงหน้าร้อน : ที่ต้องระบุว่าเป็นหน้าร้อนก็เพราะว่า ในหน้าหนาว....หิมะที่ฮอกไกโดมันโหดมาก ชนิดที่ว่าคนกรุงเทพที่ไม่เคยแม้แต่จะสัมผัสอากาศหนาวเกินสามวันแบบบ้านเรายากที่จะจินตนาการได้ ....ปริมาณหิมะที่ถาโถมเข้ามาท่วมหัว กับสภาพถนนที่ลื่นปรี๊ดดดขนาดต้องเปลี่ยนยางล้อรถเป็นแบบลุยหิมะ มันขับยากนะคะ  แล้วถ้าโชคร้ายอยู่กลางพายุหิมะนะคุณเอ๋ยยยยย ทัศนวิสัยแทบจะเป็นศูนย์ บอกเลยว่าใครไม่ชินกับการขับรถในสภาพแบบนี้อย่าได้ไปลองเลย  เที่ยวไม่สนุกแน่นอน (เราเคยนั่งรถเพื่อนลุยพายุหิมะมาก่อน... ตอนกลางคืนด้วย ..แบบว่าน่ากลัวมาก

แต่ถ้าเป็นหน้าร้อนนี่คือดีงามพระรามเก้า เพราะฮอกไกโดไม่ร้อนมากเท่าโตเกียว อากาศจะแบบชิวๆเหมือนกรุงเทพหน้าหนาว สบ๊าย สบาย  แถมดดอกไม้สวยๆก็จะพร้อมใจกันเบ่งบานลั้ลลา  และนอกจากนี้..ที่ท่องเที่ยวในฮอกไกโดส่วนใหญ่ เอาจริงๆ มันก็ห่างๆกันซะเหลือเกิน  จะเดินทางด้วยรถไฟก็ลำบากกับการต่อรถ ถ้าพลาดขบวนนึง อาจจะทำให้ชีวิตเปลี่ยนเลยทีเดียว ดังนั้นการขับรถที่ฮอกไกโดในหน้าร้อนจึงเป็นอะไรที่แนะนำสุดๆ  (แน่นอน...พวกบริษัทเช้ารถก็รู้ดีในเรื่องนี้ ..ดังนั้นค่าเช่ารถในช่วงหน้าร้อนที่ฮอกไกโดจึงจะแพงกว่าฤดูอื่นๆนะคร๊า )

และสิ่งที่ทำให้ชีวิตดี๊ดีเมื่อขับรถที่ฮอกไกโดก็คือ  มีพาสทางด่วนด้วยคร่าาาาา งานนี้ชาวญี่ปุ่นได้แต่มองตาปริบๆด้วยความอิจฉา เพราะพาสนี้ใช้ได้เฉพาะนักท่องเที่ยวเท่านั้น  Hokkaido Expressway pass นี้จะทำให้คุณขึ้นทางด่วนในฮอกไกโดได้ไม่จำกัด   ถ้าถามว่า..มันคุ้มมั้ย? บอกเลยว่า  อิค่าทางด่วนที่ญี่ปุ่นนี่แพงโฮกๆ  ลองเทียบราคาพาสและเส้นทางตัวอย่างจากในลิงค์ก็ได้ค่ะ (คลิกที่รูปด้านล่างเลย) ยิ่งซื้อหลายวันยิ่งถู๊กกถูก  ถ้ามีเพื่อนไปซัก 4-5 คนนี่กำลังดีเลย

[Foreign Visitors to Japan Only] Hokkaido Expressway Pass

2. โทโฮคุ : จะเที่ยวจุดแนะนำให้ครบจบในหนึ่งทริป  แนะนำเลยว่าต้องขับรถเท่านั้น เพราะที่เที่ยวเจ๋งๆที่นี่มันห่างกันพอสมควร และส่วนใหญ่จะไปถึงได้โดยรถบัส ซึ่งก็หมายความว่าลำบากสิคะ ขับรถเที่ยวเลยสะดวกกว่า  ยิ่งถ้าชอบเที่ยวแนวธรรมชาตินะ ที่นี่มีถนนสวยๆเยอะเลยค่ะ
3.  จูโกกุ ชิโกกุ
4. คิวชู
5. จูบุ เน้นแถบจังหวัดที่ไม่ไกล้ตัวเมืองอย่างโตเกียว หรือโอซาก้า  เพราะใกล้ๆตัวเมืองมีรถไฟสะดวกสบายอยู่แล้ว  คุ้นๆว่ามี express way pass ขายด้วยนะจ๊ะ  สุดคุ้มเลย
5. โอกินาว่า

สรุปก็คือ ทุกๆภูมิภาคที่มันไม่ได้อยู่ใกล้ๆโตเกียวหรือโอซาก้าอะค่ะ  น่าขับรถหมดแหละ  แต่ถ้าเที่ยวแถวตัวเมืองและจังหวัดใกล้ๆ อย่าขับรถเลย เพราะรถไฟเยอะ  เดินทางสะดวกอยู่แล้วจ้า




มาขับรถเที่ยวในญี่ปุ่นกันเถอะ มาขับรถเที่ยวในญี่ปุ่นกันเถอะ Reviewed by ITadmin on 23:18 Rating: 5

3 comments:

  1. ขณะนี้เรามีเงินทุนสำหรับการจัดหาเงินทุนอสังหาริมทรัพย์, การระดมทุนในโครงการ, สินเชื่อสะพาน, การก่อสร้างทางการเงินและสินเชื่อสามัญสำหรับโครงการส่งออก / นำเข้าของ บริษัท ในปริมาณมาก

    นี่คือพื้นที่ของการระดมทุนของเรา:

    * สินเชื่อ Bridging
    * สินเชื่อธุรกิจ
    * สินเชื่อส่วนบุคคล
    * สินเชื่อเพื่อการลงทุน
    * สินเชื่อรถยนต์
    * สินเชื่อก่อสร้าง
    * การรวมหนี้
    * วงเงินเครดิต
    * ให้เช่าซื้อ
    * จำนองที่สอง
    * การแลกเครดิต
    * โครงการการเงิน
    * สินเชื่อที่อยู่อาศัย
    * สินเชื่อรีไฟแนนซ์
    * สินเชื่อเพื่อการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์
    * ตัวแทน / โบรกเกอร์

    อัตราดอกเบี้ยเงินทุนของเราคือ 3% กับระยะเวลาผ่อนผัน 1 ปีและลูกค้าต้องการให้แน่ใจว่าโครงการของเขา / เธอกับ บริษัท ประกันภัยของยอดรวมสินเชื่อเพื่อรับประกันเงินกู้เป็นหลักประกัน

    ส่งอีเมลถึงเรา: standardonlineinvestment@gmail.com

    ReplyDelete
  2. ขณะนี้เรามีเงินทุนสำหรับการจัดหาเงินทุนอสังหาริมทรัพย์, การระดมทุนในโครงการ, สินเชื่อสะพาน, การก่อสร้างทางการเงินและสินเชื่อสามัญสำหรับโครงการส่งออก / นำเข้าของ บริษัท ในปริมาณมาก

    นี่คือพื้นที่ของการระดมทุนของเรา:

    * สินเชื่อ Bridging
    * สินเชื่อธุรกิจ
    * สินเชื่อส่วนบุคคล
    * สินเชื่อเพื่อการลงทุน
    * สินเชื่อรถยนต์
    * สินเชื่อก่อสร้าง
    * การรวมหนี้
    * วงเงินเครดิต
    * ให้เช่าซื้อ
    * จำนองที่สอง
    * การแลกเครดิต
    * โครงการการเงิน
    * สินเชื่อที่อยู่อาศัย
    * สินเชื่อรีไฟแนนซ์
    * สินเชื่อเพื่อการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์
    * ตัวแทน / โบรกเกอร์

    อัตราดอกเบี้ยเงินทุนของเราคือ 3% กับระยะเวลาผ่อนผัน 1 ปีและลูกค้าต้องการให้แน่ใจว่าโครงการของเขา / เธอกับ บริษัท ประกันภัยของยอดรวมสินเชื่อเพื่อรับประกันเงินกู้เป็นหลักประกัน

    ส่งอีเมลถึงเรา: standardonlineinvestment@gmail.com

    ReplyDelete
  3. สำหรับการเดินทางโดยรถยนต์รถยนต์ที่มีความจุมากนั้นสำคัญมาก 2020 Toyota Hilux REVO Rocco นั้นดีฉันใช้มันมานานแนะนำให้ทุกคน

    ReplyDelete

Powered by Blogger.